นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมการสร้างบล็อกได้จากการค้นหาในอินเตอร์เนต
http://itoeblog.blogspot.com/ ตัวอย่างและวิธีการสร้างบล็อก หรืออาจจะเป็นหาหาจากgoogle เพื่อปรับแต่งบล็อกให้น่าสนใจขึ้น
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555
จิตวิทยาวัยรุ่น
คนส่วนใหญ่มักบอกว่า จิตวิทยา เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก |
“จิตวิทยา ถ้าพูดกันให้เข้าใจให้ละเอียด คงต้องใช้เวลานาน ถ้าเผื่อเราเอาความหมายพอจะใช้งานได้ ก็หมายถึงว่า ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจของคนทั้งหมด ที่มันกลายเป็นเรื่องที่ยากและใช้ได้ยากเป็นเพราะว่ามันเป็นวิชาเกี่ยวกับจิตใจคน ซึ่งสลับซับซ้อนยากแก่การเข้าใจ เราก็ยังไม่รู้อะไรมากเท่าที่ควร ในเมื่อเรายังไม่รู้เท่าที่ควร ทำให้เราตั้งทฤษฎีต่างๆ ขึ้นมาเพื่อจะอธิบายปรากฏการณ์ทางพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับคน บางทฤษฏีนำมาอธิบายปรากฏการณ์ในคนๆ หนึ่งได้ แต่อธิบายกับอีกคนหนึ่งไม่ได้ บางอันก็ตรงกันข้าม นี่ก็ทำให้เกิดความสับสน และไม่เข้าใจกันมากขึ้น เว้นไว้แต่ว่าเราจะเข้าใจทฤษฎีนั้นจริงๆ และเลือกใช้ได้ถูกเลยทำให้จิตวิทยากลายเป็นวิชาที่เอามาใช้ได้ยาก”
เรื่องจิตวิทยาวัยรุ่นทีพ่อแม่ผู้ปกครองและตัววัยรุ่นเองควรรู้ |
“พ่อแม่ ผู้ปกครองก็ควรรู้ว่า เมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่น สภาพจิตใจและพฤติกรรมของเด็กจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิม มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เด็ก เป็นคนที่หงุดหงิด อยากแยกตัวออกจากพ่อแม่ ไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน ไปสุงสิงกับเพื่อน ชอบทำกิจกรรมต่างๆ ตามกลุ่มเพื่อนฝูง บางครั้งก็เป็นไปในทางสร้างสรรค์ที่ดี ในบางครั้งก็ในทางที่เป็นภัยต่อสังคม มีความคิดที่เป็นของตัวเองมาก บางทีก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน ไม่ค่อยสัมผัสกับความจริงเท่าไร บ้างก็เป็นความคิดที่ดีและเป็นประโยชน์มาก แต่ผู้ใหญ่เข้าไม่ถึงเพราะใจไม่ว่างพอ นี่คือสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจตัวการที่สำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่นก็คือ การเริ่มต้นทำงานของฮอร์โมนเพศ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจ ทางร่างกายทำให้ผู้ชายมีลักษณะทางเพสของผู้ชายมากขึ้น ผู้หญิงก็มีลักษณะของเพศหญิงมากขึ้น ถ้าเรามองในฐานะของผู้ใหญ่ก็ไม่รู้สึกอะไร สำหรับเด็กเอง การเปลี่ยนแปลงอันนี้ก่อให้เกิดความวิตกได้มากเช่นกลัวว่า จะมีอะไรทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์อย่างผู้ชายที่วาดภาพเอาไว้ก่อนหน้านั้นไหม พอไม่มีหนวดก็ชักกังวลที่มันขึ้นช้าไป จะเตี้ยไปหรือสูงไปหรือเปล่า ? กล้ามทำไมไม่ขึ้นเป็นมัดๆ ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะกลัวว่า จะไม่มีรูปร่างสวยงามอย่างที่คิดไว้ กลัวอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้ยิ่งกังวลเมื่อมันมาช้าไปหรือเร็วไป
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตอนวัยรุ่นนี้ มีมากที่สุดเมื่อเทียบกับในช่วงอื่นๆ ของชีวิต ในช่วงเด็กอาจเปลี่ยนแค่ความสูงความอ้วน แต่พอวัยรุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและอวัยวะ ของที่ไม่เคยมี ก็มีขึ้นมา ของที่มีอยู่แล้วรูปร่างก็เปลี่ยนไปทำให้เกิดความวิตกกังวล จากการมองดูรูปร่างภายนอกของตัวเอง
เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศ ที่ผลักดันให้เกิดความรู้สึกทางเพศ ในวัยรุ่นนั้นมันเป็นของใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็เมื่อเกิดความรู้สึกทางเพศขึ้นมา ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะจัดการหรือควบคุมกับความรู้สึกทางเพศได้อย่างไร บางทีก็กลัว เอ…เราไปทำอะไรไม่ถูกต้องหรือเปล่า ? หรือจะทำอย่างไรให้ความรู้สึกทางนี้หมดไป ต้องเข้าใจว่าเรื่องเพศไม่ใช่สิ่งเลวร้ายไม่ใช่สิ่งไม่ดี มันเป็นสภาพธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติมีให้แล้วไม่ต้องตกใจแล้วก็พยายามหาทางออกที่ถูกต้องของตัวเองว่า ควรจะเป็นวิธีไหน ? แล้วใช้ให้ถูก อาจระบายความรู้สึกกับเพื่อนๆ มันก็ลดความหงุดหงิดได้ หรือใช้กิจกรรมเพื่อช่วยเบนความสนใจ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี หรือกิจกรรมอื่นๆ
นอกจากนั้น การพัฒนาด้านจิตใจ โดยทั่วไปก็ทำให้วัยรุ่นเกิดปัญหาขึ้นเพราะว่าวัยนี้ เป็นวัยที่เด็กเริ่มจะต้องการเป็นตัวของตัวเอง มีความรู้สึกอยากจะผละออกจากพ่อแม่ ถ้าหากพ่อแม่ยังดูแลเขาแบบเล็กๆ อยู่ก็จะไม่ชอบ วัยรุ่นจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากกว่าความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ในขณะที่พ่อแม่ และผู้ใหญ่อื่นๆ จะมองว่าวัยรุ่นเป็นเด็กมากกว่าที่วัยรุ่นเป็นอยู่จริง ดังนั้นความเข้าใจระหว่างพ่อแม่ กับวัยรุ่นจึงขัดกัน ความจริงวัยรุ่นอยู่กึ่งกลางระหว่างที่ตัววัยรุ่นคิดกับพ่อแม่คิด ความที่วัยรุ่นมีความรู้สึกอยากเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ทำให้ดิ้นรนออกจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็มักเข้าใจว่า “แกยังไม่โต ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ฉันต้องควบคุมแก ฉันต้องสั่งสอนแก” เด็กก็จะรู้สึกต่อต้านมากขึ้น
วัยรุ่นเมื่อผละตนเองจากพ่อแม่ก็จะไปเข้ากลุ่มเพื่อน เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กมีความรู้สึกไม่สบายใจ เคยเล่าให้พ่อแม่ฟัง ก็จะไปเล่าให้เพื่อนฟัง จะกลายเป็นมีความลับกับพ่อแม่ จะไม่พูดกับพ่อแม่ เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเด็กมีความสามารถในการคบเพื่อนที่ดี พูดแล้วเพื่อนเข้าใจแก ก็เป็นอันว่ามีทางออกของอารมณ์ที่ดี แกก็สามารถปรับตัวเองได้ ตัววัยรุ่นเองต้องเข้าใจว่าการที่รู้สึกอยากจะผละจากพ่อแม่ ต้องการเพื่อน ก็ต้องสำรวจดูว่า มีจุดบกพร่องในเรื่องการคบเพื่อนอย่างไร ควรเลือกเพื่อนอย่างไร จะปรับปรุงตัวอย่างไร เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เข้ากับเพื่อนได้ดี
วัยรุ่นบางคนมีปัญหา ตอนเป็นเด็กไม่ค่อยมีเพื่อน เข้ากับเพื่อนลำบาก พอผละออกจากพ่อแม่ตามแรงผลักดันทางธรรมชาติ ก็ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ขึ้นได้กับเพื่อน ทำให้ถูกโดดเดี่ยว พ่อแม่จึงต้องเข้าใจ พยายามใกล้ชิดเด็ก เข้าใจเด็ก เด็กจะได้เข้ามาพูดจาปรึกษาได้ พร้อมกับช่วยสำรวจตัวเด็กเพื่อแก้ไขในจุดด้อยความสามารถนั้น
ตัววัยรุ่นเมื่อเกิดความขัดแย้งกับพ่อแม่ ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของพ่อแม่บ้าง รู้จักลดราวาศอกบ้าง จิตใจจะได้ไม่วุ่นวายเกินไป คิดบ้างว่า เราอาจทำอะไรให้พ่อแม่เห็นขวางหูขวางตาเหมือนกันก็ได้ แม้ว่าสิ่งที่ทำนั้นอาจจะไม่ผิดก็ตาม แต่การละทิ้งค่านิยมเก่าๆ และการทำตัวเองเป็นคนที่มีใจกว้างในเรื่องความคิดเห็นเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใหญ่ วัยรุ่นมักไปติดอยู่กับอุดมการณ์ที่คิดว่าเลอเลิศ และพยายามที่จะดิ้นรนให้ตัวเองหรือสังคมไปถึงจุดนั้น และส่วนใหญ่ กว่าที่เขาจะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ เขาก็ต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตไปจนพ้นวัยรุ่นแล้วจึงสำนึกได้ แต่แนวความคิดหรือการไปติดอยู่ในอุดมการณ์เหล่านี้จำเป็นเหมือนกัน ถ้าเผื่อไม่มีแนวความคิดอันนี้มาก่อน แล้วผ่านไปถึงผู้ใหญ่ มันจะไม่มีแรงดันให้เกิดความคิดที่จะสร้างสรรค์ พอเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็จะเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้เป็นการช่วยให้เขามองอะไรได้กว้างขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่”
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตอนวัยรุ่นนี้ มีมากที่สุดเมื่อเทียบกับในช่วงอื่นๆ ของชีวิต ในช่วงเด็กอาจเปลี่ยนแค่ความสูงความอ้วน แต่พอวัยรุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและอวัยวะ ของที่ไม่เคยมี ก็มีขึ้นมา ของที่มีอยู่แล้วรูปร่างก็เปลี่ยนไปทำให้เกิดความวิตกกังวล จากการมองดูรูปร่างภายนอกของตัวเอง
เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศ ที่ผลักดันให้เกิดความรู้สึกทางเพศ ในวัยรุ่นนั้นมันเป็นของใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็เมื่อเกิดความรู้สึกทางเพศขึ้นมา ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะจัดการหรือควบคุมกับความรู้สึกทางเพศได้อย่างไร บางทีก็กลัว เอ…เราไปทำอะไรไม่ถูกต้องหรือเปล่า ? หรือจะทำอย่างไรให้ความรู้สึกทางนี้หมดไป ต้องเข้าใจว่าเรื่องเพศไม่ใช่สิ่งเลวร้ายไม่ใช่สิ่งไม่ดี มันเป็นสภาพธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติมีให้แล้วไม่ต้องตกใจแล้วก็พยายามหาทางออกที่ถูกต้องของตัวเองว่า ควรจะเป็นวิธีไหน ? แล้วใช้ให้ถูก อาจระบายความรู้สึกกับเพื่อนๆ มันก็ลดความหงุดหงิดได้ หรือใช้กิจกรรมเพื่อช่วยเบนความสนใจ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี หรือกิจกรรมอื่นๆ
นอกจากนั้น การพัฒนาด้านจิตใจ โดยทั่วไปก็ทำให้วัยรุ่นเกิดปัญหาขึ้นเพราะว่าวัยนี้ เป็นวัยที่เด็กเริ่มจะต้องการเป็นตัวของตัวเอง มีความรู้สึกอยากจะผละออกจากพ่อแม่ ถ้าหากพ่อแม่ยังดูแลเขาแบบเล็กๆ อยู่ก็จะไม่ชอบ วัยรุ่นจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากกว่าความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ในขณะที่พ่อแม่ และผู้ใหญ่อื่นๆ จะมองว่าวัยรุ่นเป็นเด็กมากกว่าที่วัยรุ่นเป็นอยู่จริง ดังนั้นความเข้าใจระหว่างพ่อแม่ กับวัยรุ่นจึงขัดกัน ความจริงวัยรุ่นอยู่กึ่งกลางระหว่างที่ตัววัยรุ่นคิดกับพ่อแม่คิด ความที่วัยรุ่นมีความรู้สึกอยากเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ทำให้ดิ้นรนออกจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็มักเข้าใจว่า “แกยังไม่โต ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ฉันต้องควบคุมแก ฉันต้องสั่งสอนแก” เด็กก็จะรู้สึกต่อต้านมากขึ้น
วัยรุ่นเมื่อผละตนเองจากพ่อแม่ก็จะไปเข้ากลุ่มเพื่อน เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กมีความรู้สึกไม่สบายใจ เคยเล่าให้พ่อแม่ฟัง ก็จะไปเล่าให้เพื่อนฟัง จะกลายเป็นมีความลับกับพ่อแม่ จะไม่พูดกับพ่อแม่ เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเด็กมีความสามารถในการคบเพื่อนที่ดี พูดแล้วเพื่อนเข้าใจแก ก็เป็นอันว่ามีทางออกของอารมณ์ที่ดี แกก็สามารถปรับตัวเองได้ ตัววัยรุ่นเองต้องเข้าใจว่าการที่รู้สึกอยากจะผละจากพ่อแม่ ต้องการเพื่อน ก็ต้องสำรวจดูว่า มีจุดบกพร่องในเรื่องการคบเพื่อนอย่างไร ควรเลือกเพื่อนอย่างไร จะปรับปรุงตัวอย่างไร เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เข้ากับเพื่อนได้ดี
วัยรุ่นบางคนมีปัญหา ตอนเป็นเด็กไม่ค่อยมีเพื่อน เข้ากับเพื่อนลำบาก พอผละออกจากพ่อแม่ตามแรงผลักดันทางธรรมชาติ ก็ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ขึ้นได้กับเพื่อน ทำให้ถูกโดดเดี่ยว พ่อแม่จึงต้องเข้าใจ พยายามใกล้ชิดเด็ก เข้าใจเด็ก เด็กจะได้เข้ามาพูดจาปรึกษาได้ พร้อมกับช่วยสำรวจตัวเด็กเพื่อแก้ไขในจุดด้อยความสามารถนั้น
ตัววัยรุ่นเมื่อเกิดความขัดแย้งกับพ่อแม่ ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของพ่อแม่บ้าง รู้จักลดราวาศอกบ้าง จิตใจจะได้ไม่วุ่นวายเกินไป คิดบ้างว่า เราอาจทำอะไรให้พ่อแม่เห็นขวางหูขวางตาเหมือนกันก็ได้ แม้ว่าสิ่งที่ทำนั้นอาจจะไม่ผิดก็ตาม แต่การละทิ้งค่านิยมเก่าๆ และการทำตัวเองเป็นคนที่มีใจกว้างในเรื่องความคิดเห็นเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใหญ่ วัยรุ่นมักไปติดอยู่กับอุดมการณ์ที่คิดว่าเลอเลิศ และพยายามที่จะดิ้นรนให้ตัวเองหรือสังคมไปถึงจุดนั้น และส่วนใหญ่ กว่าที่เขาจะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ เขาก็ต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตไปจนพ้นวัยรุ่นแล้วจึงสำนึกได้ แต่แนวความคิดหรือการไปติดอยู่ในอุดมการณ์เหล่านี้จำเป็นเหมือนกัน ถ้าเผื่อไม่มีแนวความคิดอันนี้มาก่อน แล้วผ่านไปถึงผู้ใหญ่ มันจะไม่มีแรงดันให้เกิดความคิดที่จะสร้างสรรค์ พอเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็จะเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้เป็นการช่วยให้เขามองอะไรได้กว้างขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่”
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของค่านิยม |
“พ่อแม่ ผู้ปกครอง และวัยรุ่น ควรเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบัน เพราะมันเปลี่ยนแปลงจากเมื่อก่อนไปอย่างรวดเร็ว ค่านิยมของผู้ใหญ่กับเด็กจึงต่างกันมาก อย่างเช่น แนวความคิดที่ว่าทำอย่างไรประเทศชาติจึงจะเจริญ ในสมัยพ่อแม่เป็นวัยรุ่น อาจบอกว่า จะทำให้ชาติเจริญ ต้องมีผู้นำที่ดี เข้มแข็ง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ไม่ต้องกลัวเสียงคัดค้านใดๆ พอรุ่นลูกเป็นวัยรุ่น แนวความคิดของพ่อแม่ก็เป็นเผด็จการแล้ว อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่จะเห็นว่า ใน 10-20 ปี ความเห็นมันเปลี่ยนเป็นตรงข้ามกัน
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของค่านิยม ทำให้ช่องว่างในการมองปัญหาต่างๆ ในสังคมระหว่างลูกกับพ่อแม่ ผู้ใหญ่ต่างกันมาก ซึ่งตามธรรมชาติ เด็กกับผู้ใหญ่ ก็ขัดแย้งกันอยู่แล้ว ก็เลยมีความขัดแย้งอย่างอื่นทำให้สูงขึ้นไปอีก”
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของค่านิยม ทำให้ช่องว่างในการมองปัญหาต่างๆ ในสังคมระหว่างลูกกับพ่อแม่ ผู้ใหญ่ต่างกันมาก ซึ่งตามธรรมชาติ เด็กกับผู้ใหญ่ ก็ขัดแย้งกันอยู่แล้ว ก็เลยมีความขัดแย้งอย่างอื่นทำให้สูงขึ้นไปอีก”
ที่มา : หมอชาวบ้าน
ร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจ
พัฒนาการของวัยรุ่นจะแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ วัยแรกรุ่น (10-13ปี) วัยรุ่นตอนกลาง (14-16 ปี ) และวัยรุ่นตอนปลาย (17-19 ปี) ทั้งนี้เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงลักษณะที่เด่นเป็นพิเศษของวัยรุ่นแต่ละช่วง ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในด้านความรู้สึกนึกคิด และความสัมพันธ์กับบิดามารดาโดยแบ่งดังนี้
1. วัยแรกรุ่น (10-13ปี) เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทุกระบบ โดยจะมีความคิดหมกมุ่นกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังจิตใจ ทำให้อารมณ์หงุดหงิดและแปรปรวนง่าย
2. วัยรุ่นตอนกลาง(14-16 ปี ) เป็นช่วงที่วัยรุ่นจะยอมรับสภาพร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นหนุ่มเป็นสาวได้แล้ว มีความคิดที่ลึกซึ้ง (abstract) จึงหันมาใฝ่หาอุดมการณ์และหาเอกลักษณ์ของตนเอง เพื่อความเป็นตัวของตัวเอง และพยายามเอาชนะความรู้สึกแบบเด็กๆ ที่ผูกพันและอยากจะพึ่งพาพ่อแม่
3. วัยรุ่นตอนปลาย(17-19 ปี) เป็นเวลาของการฝึกฝนอาชีพ ตัดสินใจที่จะเลือกอาชีพที่เหมาะสม และเป็นช่วงเวลาที่จะมีความผูกพันแน่นแฟ้น (intimacy) กับเพื่อนต่างเพศ สภาพทางร่างกายเปลี่ยนแปลงเติบโตโดยสมบูรณ์เต็มที่ และบรรลุนิติภาวะในเชิงกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงในวัยรุ่น มี 3 ทางใหญ่ๆ คือ
1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
2. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สังคม
3. การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ
ลักษณะทั่วไปของวัยรุ่น
การที่เด็กผู้ชายผู้หญิงเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นเร็วช้าต่างกัน โดยที่เด็กผู้หญิงจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางร่าง กายก่อนเด็กผู้ชายประมาณ 2 ปี ซึ่งจะทำให้ในชั้นประถมตอนปลาย หรือชั้นมัธยมต้นจะพบว่าวัยรุ่นหญิงจะมีร่างกายสูงใหญ่ เป็นสาวน้อยแรกรุ่น ในขณะที่พวกเด็กผู้ชายยังดูเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความสับสนและวิตกกังวลได้ เด็กผู้หญิงอาจกังวลว่าตนเองไม่หยุดสูงเสียที ในขณะที่เด็กผู้ชายก็เกิดความกังวลว่าทำไมตัวเองจึงไม่สูงใหญ่
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
1. ขนาดและความสูง : ในวัยเด็กทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจะมีความกว้างของไหล่และสะโพกใกล้ เคียงกัน แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ผู้ชายจะมีอัตราเร็วในการเจริญเติบโตของไหล่มากที่สุด ทำให้วัยรุ่นผู้ชายจะมีไหล่กว้างกว่า ในขณะที่วัยรุ่นผู้หญิงมีอัตราการเจริญเติบโตของสะโพกมาก กว่าผู้ชาย นอกจากนี้การที่วัยนี้มีการเจริญเติบโตสูงใหญ่ได้รวดเร็ว โดยเฉพาะที่ คอ แขน ขา มากกว่าที่ลำตัว จะทำให้วัยรุ่นรู้สึกว่าตัวเองมีรูปร่างเก้งก้างน่ารำคาญ และการเจริญเติบโตหรือการขยายขนาดของร่างกายในแต่ละส่วน อาจเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน หรือไม่เป็นไปตามขั้นตอน เช่น ร่างกายซีกซ้ายและซีกขวาเจริญเติบโตมีขนาดไม่เท่ากันในระยะแรกๆ ซึ่งเป็นเหตุทำให้เด็กตกอยู่ในความวิตกกังวลสูงได้ จึงควรให้ความมั่นใจกับวัยนี้
2. ไขมันและกล้ามเนื้อ : เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงมีความหนาของไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังใกล้เคียงกัน จนกระทั่งอายุประมาณ 8 ปี จะเริ่มมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว วัยรุ่นชายจะมีกำลังของกล้ามเนื้อมากกว่าวัยรุ่นผู้หญิง พละกำลังของกล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้น หลังจากนั้นวัยรุ่นชายจะมีไขมันใต้ผิวหนังบางลง พร้อมๆกับมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้นและแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้วัยรุ่นชายดูผอมลงโดยเฉพาะที่ขา น่อง และแขน สำหรับวัยรุ่นหญิงถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของกล้ามเนื้อ แต่ขณะเดียวกันจะมีการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้นอีกโดยที่น้ำหนักจะเพิ่มได้ถึงร้อยละ 25 ของน้ำหนัก โดยเฉพาะไขมันที่สะสมที่เต้านมและสะโพก ประมาณร้อยละ 50 ของวัยรุ่นหญิงจะรู้สึกไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตน และมักคิดว่าตัวเอง "อ้วน" เกินไป มีวัยรุ่นหลายคนที่พยายามลดน้ำหนัก จนถึงขั้นที่มีรูปร่างผอมแห้ง
3. โครงสร้างใบหน้า ช่วงนี้กระดูกของจมูกจะโตขึ้น ทำให้ดั้งจมูกเป็นสันขึ้น กระดูกขากรรไกลบนและ ขากรรไกรล่างเติบโตเร็วมากในระยะนี้ เช่นเดียวกับกล่องเสียง ลำคอ และกระดูกอัยลอยด์ และพบว่าในวัยรุ่นชายจะเจริญเติบโตเร็วกว่าวัยรุ่นหญิงชัดเจน เป็นเหตุให้วัยรุ่นชายเสียงแตก
4. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ทั้งฮอร์โมนการเติบโต (growth hormone) และฮอร์โมนจาก ต่อมธัยรอยด์มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต รวมทั้งฮอร์โมนทางเพศ นอกจากระดับฮอร์โมนจะมีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตทางร่างกาย และอวัยวะเพศในวัยรุ่นแล้ว ตัวของมันเองยังส่งผลถึงความรู้สึกทางอารมณ์และจิตใจ ปฏิกิริยาการเรียนรู้ ฯลฯ ในวัยรุ่นอีกด้วย วัยรุ่นที่จะผ่านช่วงวิกฤตนี้ได้ นอกจากจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปแล้ว ยังต้องเข้าใจและควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างๆ อีกด้วยโดยเฉพาะต่อมไขมันใต้ผิวหนัง และต่อมเหงื่อจะทำหน้าที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาเรื่อง "สิว" และ "กลิ่นตัว" แต่เนื่องจากวัยนี้จะให้ความสนใจเกี่ยวกับร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีความระแวดระวังตัวเองมาก จึงทำให้วัยรุ่นพยายามที่จะรักษา "สิว" อย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งๆที่ "สิว" จะเป็นปัญหาในช่วงวัยนี้แค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น
5. การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ วัยรุ่นหญิงมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงระยะ 1 ปี ก่อนที่ จะมีประจำเดือน โดยเฉพาะการเจริญเติบโตของเต้านม ซึ่งเริ่มมีการขยายในขนาดเมื่ออายุประมาณ 8-13ปี และจะใช้เวลา 2-2 ปีครึ่ง จึงจะเจริญเติบโตเต็มที่ ในช่วงอายุ 11-13 ปี วัยรุ่นหญิงส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80) จะมีรูปร่างเป็นสาวเต็มตัว ดังนั้นในชั้นประถมตอนปลายหรือมัธยมต้น จะเห็นว่าวัยรุ่นสาวจะมีรูปร่างสูงใหญ่เป็นสาวน้อยแรกรุ่น ในขณะที่พวกผู้ชายยังดูเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ทั้งๆ ที่เด็กผู้หญิงเคยตัวเล็กกว่าเด็กผู้ชายมาตลอด ทำให้เด็กสับสนและเป็นกังวลกับสภาพร่างกายได้
การมีรอบเดือนครั้งแรก จะมีเมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี การที่มีประจำเดือนแสดงให้เห็นว่า มดลูกและช่องคลอดได้เจริญเติบโตเต็มที่ แต่ในระยะ 1-2 ปี แรกของการมีประจำเดือน มักจะเป็นการมีประจำเดือนโดยไม่มีไข่ตก รอบเดือนในช่วงปีแรกจะมาไม่สม่ำเสมอ หรือขาดหายไปได้ และเมื่อมีประจำเดือนแล้ว พบว่าเด็กผู้หญิงยังสูงต่อไปอีกเล็กน้อยไปได้อีกระยะหนึ่ง และจะเติบโตเต็มที่เมื่อประมาณอายุ 15-17 ปี การมีรอบเดือนครั้งแรกอาจทำให้รู้สึกพอใจและภูมิใจที่เป็นผู้หญิงเต็มตัว หรืออาจจะรู้สึกในทางลบ คือ หวั่นไหว หวาดหวั่นหรือตกใจได้เช่นกัน โดยทั่วไปการมีรอบเดือนครั้งแรกจะเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างวัยรุ่นหญิงกับมารดาถ้าเคยไว้วางใจกันมาก่อน แต่วัยรุ่นหญิงบางคนจะปกปิดไม่กล้าบอกใคร เพราะเข้าใจไปว่าอวัยวะเพศฉีกขาด หรือเป็นแผลจากการสำรวจตัวของวัยรุ่นเอง ในช่วงนี้วัยรุ่นจะกังวลหมกมุ่นกับรูปร่างหน้าตา และมักใช้เวลาอยู่หน้ากระจกนานๆ เพื่อสำรวจรูปร่าง ส่วนเว้าส่วนโค้งหรือใช้กระจกส่งดูบริเวณอวัยวะเพศด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ซึ่งก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ผิดปกติแต่อย่างใด
สำหรับวัยรุ่นชาย ซึ่งจะเริ่มมีการเจริญเติบโตของลูกอัณฑะ เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 10-13 ปี ครึ่ง และจะใช้เวลานาน 2 - 4 ปี กว่าที่จะเติบโตและทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่รูปร่างภายนอกจะมีการเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงช้ากว่าวัยรุ่นหญิง ประมาณ 2 ปี คือ ประมาณอายุ 12-14 ปี ในขณะที่เพื่อนผู้หญิงที่เคยตัวเล็กกว่า กลับเจริญเติบโตแซงหน้า ทำให้วัยรุ่นชายมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปร่าง ความสูง ได้มาก เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นตอนกลางช่วงวัย 14-16 ปี ลูกอัณฑะเจริญเติบโตและทำงานได้เต็มที่จึงสามารถพบภาวะฝันเปียกได้ บางคนเข้าใจผิดคิดว่าฝันเปียกเกิดจากการสำรวจความใคร่ด้วยตัวเอง หรือเป็นความผิดอย่างแรง หรือทำให้สภาพจิตผิดปกติ หรือบางรายวิตกกังวลไปกับจินตนาการหรือความฝัน เพราะบางครั้งจะเป็นความคิด ความฝันเกี่ยวข้องกับคนในเพศเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างใด
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สังคม
ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจะทำให้เกิดผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจได้อย่างตรงไปตรงมา ทั้งความวิตกกังวล หงุดหงิด หมกมุ่น ไม่พอใจในรูปร่างที่เปลี่ยนไป
1. ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เด็กผู้ชายที่เข้าสู่วัยรุ่นช้า จะมีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่งอาจจะไม่มั่นใจในความเป็นชาย รู้สึกว่าตัวเองไม่สมบูรณ์มักลูกล้อเลียน กลั่นแกล้งจากเพื่อนๆ ที่รูปร่างใหญ่โตกว่า มีความภาคภูมิใจในตนเองในระดับต่ำและรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยฝังใจไปได้อีกนาน วัยรุ่นหญิงที่โตเร็วกว่าเพื่อในวัยเดียวกัน (early mature) มักจะรู้สึกอึดอัดและรู้สึกเคอะเขิน ประหม่าอายต่อสายตาและคำพูดของเพศตรงข้าม ในขณะที่สภาพอารมณ์ จิตใจยังเป็นเด็ก
2. ความวิตกกังวลกับอารมณ์เพศที่สูงขึ้น การ เปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนทางเพศ ซึ่งจะส่งผลทำให้วัยรุ่นเกิดอารมณ์เพศขึ้นมาได้บ่อย วัยรุ่นหลายคนที่มีกิจกรรมส่วนตัวที่เบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้อย่างดี โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งเป็นประจำวัยนี้จะมีความสนใจ อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วเป็นทุน และเมื่อมาผสมกับการที่มีระดับฮอร์โมนทางเพศเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะหัดสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง อยากรู้อยากเห็นกิจกรรมทางเพศผู้ใหญ่ควรเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดร่วมกับความอยากรู้อยากเห็นของวัยรุ่น ควรให้ความรู้ในเรื่องเพศที่ถูกต้อง และถือว่าความรู้สึกในวัยนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งการที่วัยรุ่นจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองนั้น ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย และไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม ถ้ากระทำอย่างระมัดระวังเป็นส่วนตัว และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นต้น
3. ความวิตกกังวลกลัวการเป็นผู้ใหญ่ วัยนี้จะมีความคิดวิตกกังวล กลัวจะไม่เป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง มักจะ กลัวความรับผิดชอบ ซึ่งจะรู้สึกว่าเป็นภาระที่หนักหนา ยุ่งยาก บางครั้งอยากจะเป็นเด็ก อยากแสดงอารมณ์สนุกสนาน ร่าเริง เบิกบาน
4. ความวิตกกังวลในความงดงามทางร่างกาย ไม่ว่าวัยรุ่นหญิงหรือชายก็จะมีความรู้สึกต้องการให้คนรอบข้าง ชื่นชมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของตน สมเพศ สมวัย นั่นเป็นเพราะว่าเด็กจะสำนึกว่าความสวยงามทางกายเป็นแรงจูงใจ ทำให้คนยอมรับ ทำให้เพื่อนยอมรับเข้าไปในกลุ่มได้ง่าย เป็นวิถีทางหนึ่งที่จะเข้าสู่สังคมและเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม ช่วงนี้จะเห็นว่าวัยรุ่นจะสนอกสนใจ พิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้า การหวีผม เอาใจใส่ต่อการออกกำลังกาย สนใจคุณค่าทางอาหาร เครื่องประดับ สุขภาพอนามัย การวางตัวให้สมบทบาททางเพศ การวางตัวในสังคม และความสนใจในแต่ละเรื่องอาจอยู่ได้ไม่นาน
การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ
1.ความรักและความห่วงใย ความรู้สึกอยากที่จะถูกรัก และยังอยากได้รับความเอาใจใส่ ห่วงใยจากบุคคลที่มีความสำคัญต่อเด็ก แต่มักจะมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ใช่การแสดงออกของพ่อแม่ที่ทำกับเขาราวกับเด็กเล็กๆ ไม่ต้องการความเจ้ากี้เจ้าการ ไม่ต้องการให้แสดงความห่วงใยอยู่ตลอดเวลา
2. เป็นอิสระอยากทำอะไรได้ด้วยตัวของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วว่าดี อยากมีส่วนในการตัดสินใจ อยากที่จะทำตัวห่างจากพ่อแม่ ห่างจากคำสั่งการเจริญเติบโตในการทำงานของสมอง ทำให้เด็กวัยนี้เริ่มมีความคิดอ่านเป็นของตนเอง เริ่มมีความคิดแบบนามธรรม (abstract thinking) การแยกจากพ่อแม่ในเกือบทุกรูปแบบ บางครั้งอาจทำให้วัยรุ่นเกิดความรู้สึกสับสน สองจิตสองใจ และอาจมีความรู้สึก "สูญเสีย" ในความรัก ความเอาใจใส่จากพ่อแม่ แต่ถ้าพวกเขายอมรับการดูแลหรือยอมทำตามคำสั่งของพ่อแม่ ก็จะไปขัดกับความต้องการที่จะเป็นเด็กโต เป็นอิสระของตนเองที่ต้องการพึ่งพาตนเอง การให้การเลี้ยงดูจึงต้องอาศัยความเข้าใจ และเคารพในสิทธิส่วนบุคคลด้วย
3. ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ความต้องการที่ ยอมรับในสิ่งที่มาจากตัวของตัวเขาทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเอง พ่อแม่คงต้องส่งเสริมให้เด็กได้ช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามวัย เพราะในการฝึกเด็กนั้น นอกจากจะทำให้เด็กได้ใช้มือได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ยังช่วยทำให้เด็กได้หัดคิด หัดตัดสินใจในการกระทำสิ่งต่างๆ ด้วย
4. อยากรู้, อยากเห็น, อยากลอง การลองผิดลองถูก และคอยสังเกตดูจากปฏิกิริยาของคนรอบข้าง เพื่อตัดสินว่าสิ่งที่ทำนั้น ดีเลวเป็นอย่างไรวัยที่โตขึ้น เมื่อความสามารถเพิ่มขึ้น ร่างกายเจริญเติบโตขึ้นมา สิ่งรอบตัวต่างๆ ที่น่าสนใจ และท้าทายความสามารถก็จะเริ่มเข้ามาเพื่อทดลองการสนับสนุนส่งเสริมเด็กให้คงสภาพอยากรู้ อยากเห็น อยากลองและได้มีโอกาสทดลองสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ในขอบเขตที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นตามวัย จะทำให้เด็กก้าวเข้าสู่วัยรุ่นด้วยความภาคภูมิใจที่ตนเองเคยมีประสบการณ์ต่างๆ มาบ้างสิ่งเหล่านี้จะมาเสริมความภาคภูมิใจในตนเองดังนั้นจะเห็นว่าการฝึกสอนและให้โอกาสเด็กได้ทดลองทำในสิ่งที่ถูกต้อง ควรฝึกสอนมาตั้งแต่เด็ก และควรค่อยๆ สอนถึงอันตรายในหลายสิ่งหลายอย่างที่มีอยู่ในสังคม และวิธีการแก้ไข เรียนรู้ทั้งสิ่งที่ดีและเลว การฝึกให้เด็กได้ลองในสิ่งที่น่าลอง แต่สนอให้หัดยั้งตัวเองในสิ่งที่อันตรายจึงเป็นวิธีที่สำคัญมาตั้งแต่วัยเรียน แต่ในทางตรงกันข้ามในกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่เคยถูกฝึกให้ลองคิด ลองทำก่อน จะเกิดความสับสน วุ่นวายใจขาดความรู้ ขากทักษะ ขาดการฝึกฝน ขาดการลองทำผิดทำถูกมาก่อน จึงทำให้กลุ่มนี้ตกอยู่ในกลุ่มที่มีอันตรายสูง และในกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่พ่อแม่ปล่อยปละละเลย หรือไม่เคยสอนให้ยับยั้งชั่งใจมาก่อน นึกอยากทำอะไรก็จะทำ ไม่เคยต้องผิดหวัง ไม่เคยสนใจว่าการกระทำของตัวจะส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างอย่างไร
พฤติกรรมอยากลองของ มักจะมีสูงสุดในช่วงวัยรุ่นตอนกลาง เป็นเด็กก็ไม่ใช่ เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง แนวความคิดและการยับยั้งตัวเองมีไม่มากพอ
5. ความถูกต้อง ยุติธรรม โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นตอนกลาง มักจะถือว่าความยุติธรรมเป็นลักษณะหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ วัยรุ่นจึงให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับความถูกต้อง ยุติธรรมตามทัศนะของตนเป็นอย่างยิ่ง และอยากจะทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ทั้งในแง่บุคคลและสังคมส่วนรวม จึงมักจะเห็นภาพวัยรุ่นถกเถียงกันเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว
6.ความตื่นเต้น ท้าทาย ความต้องการหาประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ เกลียดความจำเจซ้ำซาก วัยรุ่นกลุ่มนี้จะสร้างความตื่นเต้นท้าทายกับการที่กระทำผิดต่อกฎเกณฑ์ต่างๆ ของทางบ้านและกฏของสังคมนั่นเป็นเพราะว่าเป็นความตื่นเต้นและความรู้สึกว่าถูกท้าทาย แนวทางการเลี้ยงดูเด็กฝึกให้เด็กได้มีโอกาสทำงานที่ท้าทายความสามารถทีละน้อยอยู่ตลอดเวลา จะส่งผลทำให้เด็กได้พัฒนาความเชี่ยวชาญขึ้นมาได้ แก้ปัญหาได้
7.ต้องการการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ของกลุ่มเพื่อน พื้นฐานการเลี้ยงดูที่ยอมรับและมีความรักความผูกพันระหว่างพ่อแม่เด็ก จะมีผลทำให้เด็กเกิดความรู้สึก ดังที่กล่าวมานี้อย่างง่ายดาย จากการฝึกฝนให้โอกาสเด็กในการตัดสินใจลงมือกระทำหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และรับฟังพยายามทำความเข้าใจตาม ถ้าเบี่ยงเบนก็ช่วยแก้ไข ถ้าถูกต้องก็ชมเชยและชื่นชม สิ่งเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เด็กเกิดความรู้สึกเป็นที่ยอมรับจากบุคคลภายในบ้าน ซึ่งจะส่งผลทำให้เด็กอยากเป็นที่ยอมรับจากเพื่อน จากครูและจากคนอื่นๆ ต่อๆ ไป จึงเป็นเหตุผลจูงใจกระทำความดีมากขึ้นๆ
แต่ในกรณีตรงกันข้าม ถ้าเด็กคนใดเกิดมาในครอบครัวที่ยุ่งเหยิง ทำให้พ่อแม่ไม่มีปัญหาพอที่จะดูแลเด็ก กลับจะต้องส่งเด็กมาฝากให้ญาติเลี้ยงเป็นภาระ ไม่มีใครเป็นธุระจัดการอะไรให้อย่างออกนอกหน้า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยอยากจะรับรู้ รับฟังเรื่องของเด็ก ถึงเวลาจะนานก็ไม่รู้ว่าใครจะให้ความอบอุ่นเมตตาหรือรักได้ มีความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่เป็นที่ต้องการของใครแม้แต่คนเดียวในบ้านไม่ว่าจะถูกหรือทำผิด ทำดีหรือทำชั่วก็ไม่มีคนเห็นคนทัก หาคนที่หวังดีจริงจังในการแนะนำตักเตือนอดทนช่วยฝึกสอนก็ไม่มี ในลักษณะเช่นนี้เด็กจะมีชีวิตที่เลื่อนลอย ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นสมาชิกภายในบ้าน เป็นคนหนึ่งภายในครอบครัว ไม่มีใครรับฟังปัญหา หรือไม่รู้ว่าจะปรึกษาใคร เมื่อเติบโตไปโรงเรียนก็มักจะพกพาเอาความรู้สึกโดดเดี่ยว ว้าเหว่นี้ไปที่โรงเรียน ความที่ทักษะไม่ได้ถูกฝึกสอนมาตั้งแต่ที่บ้านจึงทำให้ผลการเรียนไม่ดี และมักจะแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน
ปัญหาการปรับตัวในวัยรุ่น
ความขัดแย้งในจิตใจของวัยรุ่น ที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็น สิ่งที่ปกติธรรมดาของการเจริญพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ แต่จะไม่รุนแรงมีผลกระทบต่อการเรียน การงานหรือด้านสังคม ในกรณีที่ปัญหารุนแรงส่งผลกระทบต่อด้านต่างๆ นั้น จึงจะจัดว่ามีปัญหาในการปรับตัว พบได้ร้อยละ 10-15 ของวัยรุ่นทั่วไป โดยเฉพาะปฏิกิริยาต่อการรับบทบาทหน้าที่ของความเป็นผู้ใหญ่ รู้สึกว่าการดูแลรับผิดชอบตัวเองเป็นภาระที่หนักหน่วงยากที่จะรับเอาไว้ได้เกิดความเคร่งเครียด บางรายมีอาการวิตกกังวล กลุ่มใจ ท้อแท้ ทานอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ ติดพ่อแม่ ครู หรือเพื่อนเหมือนเด็กเล็ก หรือมีอาการแสดงออกมาทางร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง หรือมีอารมณ์ฉุนเฉียว วู่วาม ก้าวร้าว ต่อต้าน ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีอยู่ไม่นาน ในที่สุดจะสามารถพัฒนาต่อไปได้ในที่สุด ชีวิตนี้แท้จริงมีปัญหาที่ทำให้เราต้องปรับตัว และแก้ไขความขัดแข้งประจำวันอยู่ตลอดเวลาแต่ในระยะวัยรุ่นซึ่งมีลักษณะพิเศษเพราะเกิดผลต่อเนื่องลุกลามได้ง่าย ทั้งนี้เนื่องจากวัยรุ่นมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย อยากเป็นอิสระ อยากเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากฟังเหตุผลของใคร เจ้าทิฐิ อวดดี ถือดี แต่ในขณะเดียวกันก็ยังขาดความเชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหา ในการพูด การทำงาน จึงทำให้เพลี่ยงพล้ำได้ง่าย วัยรุ่นผู้เข้าใจปัญหาประจำวัยของตน และสามารถปรับตัวดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม คือ วัยรุ่นที่มีความสุข มีความสามารถที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต
การสร้างบุคลิกภาพ
- การค้นหาเอกลักษณ์ของตนเอง
พัฒนาทางด้านความนึกคิด ค้นหาสิ่งต่างๆ ทั้งท่าทาง คำพูด การแสดงออก การแต่งกาย การเข้าสังคม วัยรุ่นที่สามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤติในการค้นหาตัวเองได้อย่างไม่ยุ่งยากนัก มักจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
เป็นผู้ที่ใช้สติปัญญาเผชิญกับเหตุการณ์ในชีวิตมากกว่าการใช้อารมณ์
เป็นผู้ที่เลือกเผชิญหน้ากับปัญหามากกว่าเป็นผู้ที่จะยอมหลีกเลี่ยงปัญหา
เป็นผู้ที่รู้เท่าทันธรรมชาติของตนมาก่อน
เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยวมีหนทางที่จะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้
วัยรุ่นที่สามารถผ่านวิกฤตการณ์และค้นพบตัวเอง ก็เท่ากับมีความสามารถที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มี บุคลิกภาพมั่นคง
2. การเอาชนะตัวเอง การควบคุมพฤติกรรม อารมณ์ให้ออกมาในรูปที่เหมาะสมในระยะแรกๆ จะพบลักษณะสองจิตสองใจระหว่างความอยากเป็นเด็กต่อไปกับความอยากเป็นผู้ใหญ่ จากความรู้สึกนึกคิดของวัยรุ่นมักจะมองว่าสภาวะผู้ใหญ่หมายความว่า พึ่งตนเองได้ ตัดสินใจได้ถูกต้อง การที่จะเอาชนะใจตนเองนั้น เป็นสิ่งที่เด็กควรจะได้รับการเรียนรู้ ได้รับโอกาสในการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ ทีละเล็กทีละน้อย ผ่านการที่พ่อแม่กำหนดขอบเขตต่างๆ ในชีวิต แต่ในวัยเด็กที่ไม่เคยเรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจมาก่อน ไม่เคยเอาชนะตัวเองโดยการทำตัวให้เหมาะสมได้เลย หรือถูกเลี้ยงดูให้เอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็จะทำ ครั้งเติบโตเข้าวัยรุ่นมีอิสระมากขึ้น ก็จะเห็นพฤติกรรมที่ไม่ยั้งคิดได้บ่อยๆ และบางครั้งกลับเป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอีกด้วย
3. การแยกตัวเองเป็นอิสระ คำว่าอิสระในสายตาของวัยรุ่น ก็คือ มีสิทธิและเสรีภาพเท่าที่บุคคลหนึ่งพึงจะมี ซึ่งรวมทั้งการแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ ขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะสังเกตดูการยอมรับจากพ่อแม่คนข้างเคียงด้วย
3.1 การได้แสดงออก
3.2 พึ่งตนเองได้
3.3 มีความรับผิดชอบ
3.4 ที่ค่านิยมที่ถูกต้อง
3.5 มั่นใจและภูมิใจในตนเอง
1. พ่อแม่มีลักษณะที่ยอมรับความสามารถของเด็ก เข้าใจและสนับสนุนในความสามารถด้านอื่นๆ ที่เหลือมีความภาคภูมิใจในด้านอื่นๆ ของลูก และปรับสิ่งแวดล้อมในการเรียนให้เหมาะสม คือ ไม่เร่งรัด ไม่บังคับ แต่ให้กำลังใจยกตัวอย่างเช่น ป้อมลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ขยัน รับผิดชอบดี แต่มีคะแนนสอนในชั้น ม.3 ได้ 2.2 และพ่อแม่ไม่ได้บังคับให้เรียนสายวิทย์ ทั้งๆ ที่อยากให้ลูกเป็นหมอ เพราะรู้ว่าถ้าให้เรียนจะทำให้เด็กลำบาก ไม่มีความสุข เป็นต้น ขณะนี้เรียนจบมหาวิทยาลัยเปิด สาขาสังคมศาสตร์ ทำงานด้านคอมพิวเตอร์ เจ้านายรักเพราะรับผิดชอบดี เป็นต้น
2. มีความเป็นตัวของตัวเอง มั่นใจในตนเอง มองภาพพจน์ตัวเองดี แต่ไม่ใช่การเอาแต่ใจตัวเอง การฝึกให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง และควบคุมตัวเองเป็น พึ่งพาตัวเองได้ ช่วยเหลือผู้อื่นได้ มีโอกาสคิด ตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ มาเป็นประจำ มีความยับยั้งชั่งใจ "การทำ" กับ "การไม่ทำ" ในสิ่งที่ดี และไม่ดี เด็กวัยรุ่นหลายคนที่จำยอมทำตามเพื่อนเพราะกลัวว่าเพื่อนจะดูถูกรังเกียจนั้น ทั้งๆ ที่ทำไปแล้วจะขัดต่อความรู้สึกของตัวเองก็ตาม เป็นสาเหตุจากที่ตนเองไม่มั่นใจและไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างมั่นคง ซึ่งจะต้องมาจากการฝึกหัดสะสมความรู้ ความสามารถมาตั้งแต่เด็ก ผ่านประสบการณ์ที่ถูกเลี้ยงดูมานั่นเอง
3. มีการสื่อสารที่ดี กล้าพูด กล้าคิด กล้าแสดงออก และกล้าที่จะทำตัวต่างจากผู้อื่นโดยยึดหลักการที่ถูกต้อง
4. มีทางออกหลายทา เช่น กีฬา ดนตรี งานอดิเรก สังคม ศิลปะ การเรียน การงาน ฯลฯ การมีทักษะหลายๆ อย่างเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องดูทักษะเด่นของลูก ซึ่งในความเด่นนั้นอาจไม่เก่งเท่าผู้อื่นก็จริง แต่ก็เป็นความสามารถที่ดีของลูกและควรให้ความสนับสนุน โดยเฉพาะทักษะในการเข้าสังคม และการปรับตัว
5. มีโอกาสเรียนรู้จัดทั้งส่วนดีและส่วนที่เลวมาก่อนได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจถึงคุณลักษณะของการเป็นคนดีไตร่ตรองดูคนเป็น แต่ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะทันคน ว่ามีความเจ้าเลห์เพทุบาย โกหกหลอกลวง ซึ่งปะปนกันอยู่ในหมู่เพื่อนและคนในสังคม เรียนรู้ที่จะเข้าใจลักษณะดีและไม่ดีของพฤติกรรมของคน ทำให้ขณะที่วัยรุ่นคลุกคลีกับเพื่อนและผู้คนต่างๆ จะได้ไตร่ตรอง เพื่อว่าจะได้มาช่วยในการตัดสินใจอีกด้วย การสอนของพ่อแม่จึงควรชี้ให้เด็กเห็นความยับยั้งชั่งใจน้อยลง สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวจึงดูดีขึ้น ดูสบายใจขึ้น ภาระความรับผิดชอบดูเหมือนจะลดน้อยลงนั้นเอง เป็นคำตอบที่ถูกต้องและตรงกับความจริง จะทำให้เด็กเรียนรู้และยอมรับได้ดีกว่าคำตอบที่ว่า คนที่กินเหล้าเป็นเพราะคนนั้นเป็นคนไม่ดี เป็นต้น ถ้าเด็กได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้นทั้งด้านดี และด้านไม่ดีจนเข้าใจแล้วจะช่วยทำให้ความอยากลองเพราะอยู่รู้อยากเห็นลดลง
ลักษณะของพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีปัญหากับวัยรุ่น จะมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
1. รัก อบอุ่น และให้ความไว้วางใจ
2. มีการสื่อสารที่ดีต่อกัน ต่างคนต่างไว้วางใจปรึกษาหารือ หรือเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ประสบมาให้ฟัง มีการยอมรับฟัง คิด สามารถที่ทั้งพ่อแม่และลูกจะแสดงความคิดเห็นคล้อยตามหรือขัดแย้งอันดีได้ ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง
3. มั่นคง มีหลักการ มีเหตุผล มีความยืดหยุ่น
4. ควบคุมตัวเองได้ดี ทั้งอารมณ์และพฤติกรรม
5. เรียกร้องแสดงความต้องการให้เด็กเติบโตสมวัยมาทุกช่วงอายุ
ที่มา:นพ.สุริยเดว ทรีปาตี หัวหน้าคลินิกเพื่อนวัยทีน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555
ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี
ประวัติ
ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2435 ในเขตซานโจวันนี (San Giovanni) เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี บิดาชื่อ นาย Artudo Feroci และมารดาชื่อนาง Santina Feroci เมื่ออายุ 23 ปี สามารถสอบผ่านเป็นศาสตราจารย์ จากราชวิทยาลัยศิลปแห่งนครฟลอเรนซ์ (The Royal Academy of Art of Florence)
ปี พ.ศ. 2441 ได้เข้าศึกษาในระดับชั้นประถม หลักสูตร 5 ปี หลังจากจบหลักสูตร จึงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนระดับมัธยมอีก 5 ปี หลังจากนั้นจึงเข้าศึกษาทางด้านศิลปะในโรงเรียนราชวิทยาลัยศิลปะ แห่งนครฟลอเรนซ์ จบหลักสูตรวิชาช่าง 7 ปีในขณะที่มีอายุ 23 ปีและได้รับประกาศนียบัตรช่างปั้นช่างเขียน ซึ่งต่อมาได้สอบคัดเลือกรับปริญญาบัตรเป็นศาสตราจารย์มีความรอบรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลป์วิจารณ์ศิลป์และปรัชญาโดยเฉพาะมีความสามารถทางด้านศิลปะแขนงประติมากรรมและจิตรกรรม
ปี พ.ศ. 2466 ท่านได้ชนะการประกวดการออกแบบเหรียญเงินตราสยามที่จัดขึ้นในยุโรป ด้วยเหตุนี้จึงเดินสู่แผ่นดินสยามเพื่อเข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากร ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2466 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาช่างปั้นหล่อ แผนกศิลปากร สถานแห่งราชบัณฑิตสภา
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2485 ประเทศอิตาลียอมพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ชาวอิตาเลียน ในประเทศไทยตกเป็นเชลยของ ประเทศเยอรมนี กับ ญี่ปุ่น แต่รัฐบาลไทยขอควบคุมตัวท่านศาสตราจารย์ คอร์ราโด เฟโรจี ไว้เอง และ หลวงวิจิตรวาทการ ได้ดำเนินการทำเรื่องราวขอโอนสัญชาติจากอิตาเลียนมาเป็นสัญชาติไทย โดยเปลี่ยนชื่อของท่านให้มาเป็น "นายศิลป์ พีระศรี" เพื่อคุ้มครองท่านไว้ ไม่ต้องไปถูกเกณฑ์เป็นเชลยศึกให้สร้าง ทางรถไฟสายมรณะ และ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เมืองกาญจนบุรี
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้เริ่มวางหลักสูตรวิชาจิตรกรรมและประติมากรรมขึ้นในระยะเริ่มแรกชื่อ " โรงเรียนประณีตศิลปกรรม" ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น"โรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง" และในปีพ.ศ. 2485กรมศิลปากรได้แยกจากกระทรวงศึกษาธิการไปขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในขณะนั้นโดย ฯพณฯจอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้นคือ พระยาอนุมานราชธน ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตร และ ตรา พระราชบัญญัติ ยกฐานะโรงเรียนศิลปากรขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร มีคณะจิตรกรรมประติมากรรม เป็นคณะวิชาเดียวของมหาวิทยาลัยศิลปากรเปิดสอนเพียง 2 สาขาวิชาคือ สาขา จิตรกรรม และสาขา ประติมากรรม โดยมี ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรีเป็นผู้อำนวยการสอนและดำรงตำแหน่งคณบดี คนแรก
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้ออกแบบปั้นและควบคุมการหล่อพระราชนุสาวรีย์ และอนุสาวรีย์สำคัญของประเทศไทย โดยการปั้นต้นแบบสำหรับพระปฐมบรมราชานุสรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2472 - 2477 อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี พ.ศ. 2484 พระราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สวนลุมพินี และการออกแบบพระพุทธรูปปางลีลา ประธานพุทธมณฑล
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ถึงแก่กรรมที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 รวมสิริอายุได้ 69 ปี 7เดือน 29 วัน
ผลงานที่สำคัญซึ่งปรากฏเห็นในปัจจุบันมีดังนี้
• พระบรมราชานุสาวรีย์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีขนาด 3 เท่าคนจริง ประดิษฐานที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ท่านเป็นช่างปั้น และเดินทางไปควบคุมการหล่อที่ประเทศอิตาลี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2472
• อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2477
• รูปปั้นหล่อประกอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2485
• พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สวนลุมพินี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2484
• พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2493
• พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดสุพรรณบุรี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2497
• รูปปั้นประดับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน
• พระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล 25 พุทธศตวรรษ ที่จังหวัดนครปฐม พ.ศ .2498 ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีโครงการที่ทำยังไม่แล้วเสร็จอีกคือ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดลพบุรี เป็นต้น
• พระบรมราชานุสาวรีย์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีขนาด 3 เท่าคนจริง ประดิษฐานที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ท่านเป็นช่างปั้น และเดินทางไปควบคุมการหล่อที่ประเทศอิตาลี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2472
• อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2477
• รูปปั้นหล่อประกอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2485
• พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สวนลุมพินี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2484
• พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2493
• พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดสุพรรณบุรี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2497
• รูปปั้นประดับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน
• พระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล 25 พุทธศตวรรษ ที่จังหวัดนครปฐม พ.ศ .2498 ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีโครงการที่ทำยังไม่แล้วเสร็จอีกคือ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดลพบุรี เป็นต้น
ที่มา : wikipedia
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)